วิเชียร ไชยบัง ครูที่ดี ไม่ปล่อยเด็กล้มเหลว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

เขาบอกหลายคนว่า “ถ้าเป็นครูที่ดีไม่ได้ ก็ไปทำอาชีพอื่น” ไม่ใช่คำพูดที่หยิ่งทระนง เพื่อแสดงว่าตัวเองเก่ง แต่เขาคิดแล้วทำ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน

 ทำไมต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ช่วงที่เขาเดินไปสมัครเป็นครูใหญ่ตอนที่คุณมีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน ริเริ่มทำระบบการเรียนการสอนแนวใหม่ในชนบท

 เมื่อเขาถูกเลือกให้ทำงานนี้ เขาบอกว่า “ถ้าผมทำไม่สำเร็จ ไล่ผมออกได้เลย”

 เขามีอิสระในการวางแนวทางตั้งแต่โรงเรียนยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่า โดยได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากเจมส์ คลาร์ก ชาวอังกฤษ ประกอบแนวคิดของคุณมีชัย

 คนที่เรากล่าวถึงคือ วิเชียร ไชยบัง ครูใหญ่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ (โรงเรียนนอกกะลา) ผู้ปลุกปั้นโรงเรียนแห่งนี้ เขาให้เด็กเรียนรู้ตามศักยภาพตัวเอง และต้องคิดเป็น โดยมีกระบวนการสอนไม่เหมือนใคร

 โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กชนบทยากจน ไม่เก็บค่าเล่าเรียน เปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงประถม กำลังจะเปิดระดับมัธยม และนี่คือโรงเรียนแนวคิดใหม่ที่คนในวงการศึกษาให้ความสนใจ และมีหลายโรงเรียนนำแนวคิดนี้ไปใช้

 แม้จะคล้ายกับโรงเรียนทางเลือก แต่ให้โอกาสเด็กชนบท และแสดงให้เห็นว่า พวกเขามีความสามารถไม่แพ้เด็กเมือง
 ข้อสำคัญเด็กๆ ครูและผู้ปกครองมีความสุข เพราะที่นี่ไม่มีการสอบ ไม่มีเสียงระฆัง ไม่มีดาวให้นักเรียน ไม่มีแบบเรียน ไม่ต้องยืนฟังครูบ่นหน้าเสาธง เด็กๆ มีสิทธิออกแบบชุดนักเรียนเอง และมีวิธีการรับสมัครครูไม่เหมือนใคร ถ้าคุณอยากเป็นครูคณิตศาสตร์ ครูใหญ่อาจถามคุณว่า ลองหารยาวจนข้างหลังมาข้างหน้า…

 ทั้งหมดมาจากแนวคิดครูใหญ่วิเชียร เขาเคยเป็นครูโรงเรียนรัฐบาล 5 ปี ผู้บริหารโรงเรียนรัฐหลายแห่งนาน 5 ปี และเป็นนักเขียนที่มีผลงานหลายเล่ม อาทิเช่น ปลาดาวบนชายหาด  และสายลมกับทุ่งหญ้า (ได้รางวัลในปีนี้) ฯลฯ
 เพราะที่นี่ให้โอกาสเขาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า คือการสร้างคน…

โรงเรียนเป็นรูปเป็นร่างและได้รับการยอมรับ รวมถึงมีคนมาดูงานมากมาย ครูใหญ่ตั้งเป้าหมายต่อไปอย่างไร

 ย่างปีที่ 7 เรากำลังจะทำระดับมัธยม เคยมีคนสมัครเป็นครู 700 คนรับแค่ 5 คนและพบว่า แม้จะรับคนยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ก็ต้องพัฒนาต่ออีกหนึ่งปี ทั้งเรื่องท่าที คำพูด ความเข้าใจ และเป้าหมายร่วมกัน แต่ก็คุ้มกับความสามารถการเป็นครู วัตถุประสงค์โรงเรียนมีข้อเดียวคือ เราอยากให้โรงเรียนชนบทกว่าสามหมื่นแห่งมาเรียนรู้และนำไปใช้ ปีที่แล้วมีครูและผู้บริหารมาเรียนรู้กว่า 5,000 คน ปีนี้ยังไม่ถึงสิ้นปีมีประมาณ 3,000 คน ตอนนี้ระดับกระทรวงรู้จักโรงเรียนเรา
เป็นความคาดหวังที่สูงเกินไปหรือเปล่า

 มี 20 โรงเรียนในภาคอีสานกำลังทำตามแบบโรงเรียนเรา และมีครูจำนวนมากอยากทำแบบนี้ แม้บางคนจะบอกว่า ทำไม่ได้หรอก

กับแนวคิดครูนอกกะลา ทำให้เกิดการพัฒนาเด็กอย่างไรคะ

 จากเด็กสภาพจิตใจย่ำแย่ กลายเป็นเด็กที่รู้ว่า ชีวิตตัวเองมีความหมาย เราทำงานด้วยหัวใจ ไม่ได้มีทฤษฎีตั้งไว้ก่อน แต่เรียนรู้ที่จะทำ ผมมั่นใจว่า เด็กที่เรียนจากระบบตรงนี้ ต่อไปจะมีเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการดำเนินชีวิต หาคำตอบจากสิ่งที่เราควรหา

โรงเรียนผ่านเกณฑ์มาตรฐานระดับไหนคะ

 สิ่งที่ผมคิด ถ้าใช้ไม่ได้ มันจะไม่มีประโยชน์เลย เราไม่ได้ต้องการทำเพื่อโชว์หรือทำให้ได้รางวัลดีเด่น กระบวนการต่างๆ ที่โรงเรียนทั่วไปทำ เราต้องให้เขาเชื่อด้วย สำนักงานประเมินและรับรองมาตรฐานการศึกษา เคยประเมินให้ผ่านในระดับดีมาก และกระบวนการเรียนรู้ของเราเป็นสากล เด็กที่นี่ ไม่มีใครอ่านออกเขียนไม่ได้ ยกเว้นเด็กอนุบาลหกสิบคน

นั่นเป็นความสำเร็จ ส่วนวิธีการเรียนการสอน โรงเรียนไม่มีเสียงระฆัง แล้วเด็กจะรู้เวลาได้อย่างไรคะ

 ต้องให้เด็กเกิดวินัยเชิงลึก วิถีปฏิบัติที่มั่นคง เด็กอนุบาลที่นี่ดูนาฬิกาเป็น พวกเขาเรียก ‘พี่นาฬิกา’ เขาจะเรียกทุกอย่างว่า ‘พี่’ อาทิ ‘พี่แก้วน้ำ’ กิจวัตรจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องมีระฆัง เด็กที่นี่ส่วนใหญ่เป็นเด็กชนบท เป็นลูกชาวนา มีเด็ก 40 คนเป็นเด็กกำพร้า เด็กคนหนึ่งไอคิวต่ำ และคนหนึ่งพิการ ทุกคนเข้ามาด้วยการจับสลาก เราต้องการให้เขาประสบความสำเร็จตามศักยภาพของเขา ทุกคนจะได้รับคุณค่าเท่าเทียมกัน

ครูไม่ให้ดาวเด็กอนุบาลกลับไปอวดพ่อแม่ เพราะอะไรคะ

 การไม่ให้ดาว เพราะเด็กจะมีค่าเท่ากัน หากให้เด็กอนุบาลวาดรูปคน บางคนวาดไม่เป็นรูป แค่วงกลม เด็กได้ใช้ศักยภาพเต็มที่แล้ว ถ้าเขาถูกตราหน้าว่า ไอ้หนึ่งดาว เขาจะเก็บตรงนั้นไว้ ไม่อยากเล่าให้แม่ฟัง ไม่อยากมาโรงเรียน เพราะเขารู้สึกว่า ไม่ได้รับคุณค่า ไม่ได้รับความรัก

เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการอบรมหน้าเสาธง ?

 ผมคิดว่าการอบรมหน้าเสาธงไม่เหมาะกับการเรียนรู้  ที่นี่ไม่มีการจัดลำดับความสามารถของนักเรียน ทุกคนยอดเยี่ยมหมด ครูจะสอนด้วยเสียงเบาๆ ถ้ามีเด็กหลังห้องไม่ฟังครู ทั้งๆ ที่ครูสามารถจัดการได้ แต่เราไม่ทำ เราจะเรียกเด็กทุกคนว่า ‘พี่’ เหมือนเด็กๆ เรียกทุกอย่างว่า ‘พี่’ ถ้าในห้องเรียนเสียงดัง เราก็บอกว่า ขอบคุณพี่โก้ที่เรียบร้อย ขอบคุณพี่กี้ยอดเยี่ยมมาก สักพักจะเงียบ เราก็จะบอกว่า ขอบคุณพี่ๆ หลังห้อง จากนั้นตัดสู่การสอน 15 นาที เราจะให้งานกับเด็กที่เรียนเก่ง เรียนอ่อน ไม่เหมือนกัน เด็กบางคนต้องการงานที่ท้าทาย เด็กทุกคนต้องลงมือทำ ที่นี่จะมีชิ้นงานให้ทำเยอะมาก ที่สำคัญคือ ครูต้องชวนให้เด็กคิดเอง

รวมถึงไม่ใช้แบบเรียนด้วย ?

 ไม่ใช้จริงๆ เพราะเราเชื่อเรื่องการพับกระต่าย ความสำคัญของตัวความรู้แต่ละคนไม่เหมือนกัน เวลาเปิดเรียนมา ครูจะถามเด็กว่า อยากเรียนอะไร เรามีวิธีการเชิงเทคนิคอีกเยอะ

วิธีคิดเรื่องการพับกระต่ายเกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาอย่างไรคะ

 ผมเคยแบ่งครูออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้ครูพับกบ มีครูคนหนึ่งเคยพับ รุ่นพี่รุ่นน้องจึงพับกบเหมือนกันทุกคน ส่วนอีกกลุ่มให้พับกระต่าย ไม่มีเสียงฮือเหมือนกลุ่มแรก เพราะไม่มีใครรู้วิธีพับกระต่าย พวกเขามองหน้ากัน ผมก็กระตุ้นให้พับ ปรากฏว่า เป็นกระต่ายคนละแบบไม่เหมือนกัน

 เรื่องการพับกระต่ายทำให้ผมนึกถึงการปฏิรูปการศึกษา ผมไปเปิดดูหนังสือเรียนแปดเล่มของหลานดู ปรากฏว่า ทุกวิชามีองค์ประกอบคล้ายกัน ห้าหน้าแรกเรียนเรื่องความรู้ หน้าต่อไปเป็นแบบฝึกหัดและสุดท้ายเป็นเฉลี่ยคำตอบ เป็นบทเรียนสำเร็จรูปเหมือนกันทุกเล่ม ผมเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจมาก เหมือนครูกลุ่มแรกที่ผมให้พับกบ ทุกคนทำได้เหมือนกับสิ่งที่ตัวเองมี แต่น้อยคนที่จะได้โอกาสใหม่ๆ

เล่าชีวิตประจำวันของครูกับเด็กให้ฟังสักนิด ?

 หน้าที่สำคัญของครูคือ เล่นกับเด็ก ผมเชื่อ ว่าไม่มีใครสอนคนได้ดีเท่ากับคน จังหวะการสอนที่ดีคือการเล่น วิธีการมีเยอะ เด็กอนุบาลไม่มีการนั่งสมาธิ จะมีเรื่องเล่า มีการเตรียมสมองให้ผ่อนคลาย เด็กทุกคนจะเรียนรู้อำนาจในการเลือกเรียน เด็กประถมห้าเรียนเรื่องไบโอดีเซล ปีนี้เขาทำธุรกิจตัวเอง ซื้อน้ำมันเก่าสิบบาทมาทำไบโอดีเซลขายยี่สิบบาท แต่คุณครูต้องไว้ใจเรียนรู้ร่วมกัน และที่นี่ให้โอกาสเด็กๆ ออกแบบชุดนักเรียนเอง

 มีเด็กคนหนึ่งเกเรและก้าวร้าวมาก เราจะไม่ผลักไสเด็กไปเรียนที่อื่น เราคิดว่าเด็กคนนี้ต้องเรียนที่นี่ เด็กคนนี้ชอบเล่นมายากล เด็กอยากเรียนเราก็สอนให้ เขาไปเล่นมายากลให้น้องๆ อนุบาลดู น้องๆ ชอบมาก แค่นี้เราก็รู้สึกปลอดภัยแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสังคมไหน เขามีคุณค่า เราเห็นความงอกงามของเด็กแต่ละคน ผมมีความสุขมาก

เวลาเด็กทำผิด มีวิธีการลงโทษอย่างไรคะ

 การลงโทษเด็ก เราจะให้เด็กรู้ว่า “อย่าทำ…เราไม่ชอบ” เป็นการบอกความรู้สึก เวลาเด็กทะเลาะกัน เราบอกให้ไปบอกเพื่อนว่า ถ้าคนอื่นทำแบบนี้กับเรา เราชอบไหม เด็กบอกว่า ไม่ชอบ ครูโยงให้เขาคิดเอง ถ้าคิดไม่ได้ครูจะช่วย หรือเด็กคนหนึ่งเตะบอลโดนกระจกแตก เราก็ถามเด็กว่า “จะแก้ปัญหานี้อย่างไร “เด็กตอบว่า “จะซื้อคืนให้” เราถามต่อว่า “เอาเงินมาจากไหน” เด็กบอกว่า”จากคุณพ่อ” เราก็บอกว่า “พ่อไม่ได้ทำผิด แล้วจะลงโทษพ่อได้อย่างไร” เด็กก็ถามว่า “ครูมีทางเลือกให้ผมไหม” ผมให้ครูอีกคนตีราคากระจก แล้วบอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องทำงานปลูกต้นกล้วยวันละกี่ต้นได้ยี่สิบบาท ล้างจานให้เพื่อนทั้งหมดได้วันละสามสิบบาท ลองไปคิดว่า จะทำอย่างไร  เราก็ปล่อยให้เขาทำ จากนั้นแค่ไปดูว่าเด็กทำไหม

เคยมีคนในวงการศึกษาเข้ามาเรียนรู้ บางคนบอกว่าทำตามแนวทางนี้ไม่ได้หรอก ครูตอบโจทย์เรื่องนี้อย่างไรคะ
 ผมก็ส่งครูผมออกไปทำให้ดูในโรงเรียนนั้น แล้วมาบอกว่าทำได้ ข้อสำคัญคือการจัดการกับผู้ปกครอง

ทำความเข้าใจกับผู้ปกครองอย่างไรคะ ?

 แรกๆ ผู้ปกครองเด็กอนุบาลคาดหวังว่า เด็กต้องเขียนตามรอยปะได้ ผมจึงต้องวางหลักสูตรในการจัดการผู้ปกครอง พอเข้าปีที่หกผู้ปกครองทุกคนเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่ง มองเห็นเป้าหมายใหม่ มั่นใจในสิ่งที่เราทำ เชื่อมั่นว่า เด็กจะเป็นนักจัดการ บางครั้งให้ผู้ปกครองมาเรียนเหมือนเด็ก ถ้าผู้ปกครองคนไหนขาดเรียนไม่มา ต้องมาเรียนซ่อมคนเดียวให้ครบ ไม่มีใครไม่มา เพราะเราเอาจริง

 ถ้าผู้ปกครองร่วมมือกับเรา ก็จะพัฒนาเด็กได้ดี เราย้ำเสมอว่า ทุกคนจะต้องตาย และคนที่เหลืออยู่คือ เพื่อนของลูก เขาต้องใช้ชีวิตต่อไป ดังนั้นทุกๆ วันจะมีผู้ปกครองเข้ามาวันละสามสี่คน บางคนมาเล่านิทาน บางคนมาช่วยทำกับข้าว คุณยายสามคนเคยเดินมาสามกิโลเพื่อมาเล่าให้ผมฟังว่า หลานไม่อยากไปเรียนที่อื่น เพราะพ่อแม่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น ผมก็เอาทั้งพ่อและยายมาคุยกัน

ย้อนไปที่คำถามว่า ถ้าโรงเรียนในระบบจะทำตามแนวทางนี้ คุณครูคิดว่าทำได้ไหม

 นี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการพิสูจน์ ถ้าผมทำออกมาได้ ทำไมคนอื่นจะทำไม่ได้ เพราะทุกคนมีหัวใจ แต่ครูส่วนใหญ่ใช้แต่เทคโนโลยี ไม่มีหัวใจเลย ถ้าเรามีหัวใจ มันยกระดับคนได้อีกหลายสิบเท่า

ย้อนไปถึงเบื้องหลังความคิด ทำไมอยากเป็นครูใหญ่ที่นี่

 ช่วงที่ผมเป็นผู้บริหารโรงเรียน หรือเป็นครู ผมรู้คำตอบแล้ว ไม่นานผมก็เกษียณ เป็นครูแก่ๆ ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่มาตรงนี้ผมไม่รู้คำตอบ มีคำตอบมากมายรอผมอยู่  มันท้าทาย เมื่อเขารับผม ผมก็ตัดสินใจลาออกเลย มาทำงานปีแรก (ปี 2545) มีเพียงที่ดินว่างเปล่า ก็อยู่คนเดียวตามร่มไม้ สิ่งที่คิดครั้งแรกคือ ต้องมีครูที่ดีเป็นตัวอย่าง เป็นโจทย์ใหญ่ที่ผมคิดทั้งปี ผมได้อิสระในการทำงานเต็มที่ ปลายปีนั้นผมรับครูมา 6 คน รูปแบบและคำตอบของเราก็ยังไม่ชัด ปีแรกเราถูกทั้งสังคม ครอบครัว ผู้ปกครอง และผู้บริหารอัดเรา เพราะเราไม่มีคำตอบให้สังคม

ถ้าคำตอบไม่เป็นอย่างที่คุณคิด ?

 ไม่เป็นไร ผมเดิมพันด้วยชีวิตแล้ว ผมยอมรับได้

เดิมพันด้วยชีวิตอย่างไรคะ

 ที่เขารับผมเป็นครูใหญ่ เขามองวิชั่นผม ผมบอกว่า ผมอยากเปลี่ยนแปลงการศึกษาจุดเล็กๆ ต้องเปลี่ยนแปลงได้จริง ผมมองว่า ในระบบการศึกษา ทุกคนมีคุณค่า ไม่ใช่ว่าเด็กคนเก่งที่สุดถึงมีค่า ผมบอกว่า ผมจะทำที่นี่ให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จไล่ผมออกได้ตลอดเวลา เขาให้อิสระผมในการทำ ผมตั้งใจไว้ว่าจะทำแค่ 5 ปี นี่เข้าปีที่ 7 แล้ว ไม่ใช่หลงเสน่ห์นะครับ แต่มีงานบางอย่างยึดโยงอยู่ หาคนแทนไม่ได้ ต้องรอสักพัก จากนั้นผมจะออกไปเขียนหนังสือและเดินทาง เพราะเขียนหนังสือมีอิทธิพลต่อคนจำนวนมาก

แรงบันดาลใจอะไรทำให้อยากเป็นครูที่สร้างเด็กให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

 กว่าสิบปีที่เป็นครูในระบบ ผมจะไม่โอดครวญกับระบบ ผมไม่บ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมทำให้เห็นเลย ถ้าผมไม่มุ่งมั่น ทุกคนก็จะไม่มุ่งมั่น ผมมีคำตอบอยู่ในใจ ถ้าผมไขว้เขว ทุกคนก็จะไขว้เขว

 ตอนผมเป็นผู้บริหารโรงเรียนในระบบราชการ ผมรู้คำตอบว่า หลังอายุ 35 ปีผมเหลือเวลาอีก 35 ปี ผมเริ่มนับถอยหลัง เหมือนนักบอลเตะครึ่งหลังแล้วไม่ได้ประตู ผมเริ่มรู้แล้วว่า ผมยังไม่เจอคำตอบตัวเองเลย ผมยังไม่ได้ทำสิ่งที่ผมอยากทำ

 ตอนนี้นับถอยหลังปีที่เจ็ดแล้ว ทำให้เรารู้สึกว่า เราวางอะไรได้ง่ายขึ้น เมื่อวางง่ายก็ทำอะไรได้เยอะ ผมมีวิถีชีวิตนอนสามทุ่มตื่นตีสาม เพราะผมมีเวลากับสิ่งที่ต้องทำอีกเยอะ

ข้อสำคัญเป้าหมายต้องชัดเจน ?

 เพราะเป้าหมายมีความหมายต่อเรา ผมพบว่า ทุกคนหาตรงนั้น คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง ผมอยากทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงคนได้เยอะที่สุด การศึกษาต้องยกระดับคุณภาพชีวิต สำหรับผมสิ่งที่เหนือกว่านั้นคือ การเขียนหนังสือ เป็นการนำพาจิตวิญญาณผ่านอารมณ์ความรู้สึก ตอนนี้ผมเขียนเรื่องจิตวิทยาสำหรับการเรียนรู้เด็กผ่านนิยาย กำลังจะตีพิมพ์

ก่อนหน้านี้ครูครุ่นคิดเรื่องชีวิตอย่างมาก แล้วได้คำตอบไหมคะ

 ผมก็พยายามหาคำตอบให้ชีวิตตามประสาคนวัยนั้น ช่วงอายุ 27 ปีกว่าพยายามอ่านหนังสือและศึกษาธรรมะ ทำทุกอย่างที่จะทำให้เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร

แล้วค้นพบไหมคะ

 ไม่พบ มีแต่ความสับสน ยิ่งคิดยิ่งหมกมุ่น จนเกิดอาการเมิน นอนไม่หลับ บางทีอาจจะหลงทางก็ได้ ผมเกิดอาการหวาดระแวง ผมกลัวจนต้องกินยากล่อมประสาท สุดท้ายเหมือนจิตฟุ้ง

คำตอบเป็นอย่างไร

 ผมพยายามจะหาคำตอบจากศาสนาพุทธ แต่พอวันหนึ่งผมตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่า ผมจะไม่ยึดติดเรื่องศาสนา เวลาผมกรอกในบัตรประชาชนช่องนับถือศาสนาอะไร ผมจะไม่กรอก ในที่สุดผมค้นพบคำตอบบางอย่าง แต่ผมตอบไม่ได้ ทุกคนจะรู้เองว่า อะไรคือที่ที่เราจะยืนอยู่

 แสดงว่าคุณเจอคำตอบแล้ว ?

 ผมคิดว่า ผมเจอ เพราะผมใคร่ครวญกับเรื่องชีวิตมานานกว่าสิบปี เห็นผู้คนต่างๆ ผมก็รู้ว่า ผมต้องการทำอะไร เพื่ออะไร

จากวงสนทนาที่นั่งคุยกัน คุณจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกคนอย่างมาก ?

ใช่ เพราะเป็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ เราอยู่ได้เพราะความรู้สึก เรามีความสุขเพราะความรู้สึก เรารักเพราะความรู้สึก เหมือนที่ผมบอกว่า ถ้าเป็นครูที่ดีไม่ได้ เราจะไปทำอาชีพอื่น เป็นครูที่ดีก็ต้องรักเด็กทุกคน ไม่ปล่อยให้เด็กในห้องล้มเหลวแม้แต่คนเดียว ไม่ปล่อยเวลาสูญเปล่า

อิสระนอกกะลา

 หากมีคนถามว่า อะไรทำให้ครูใหญ่คนนี้มีอิสระในความคิดและการดำเนินชีวิตเต็มที่ และมีเป้าหมายชัดเจนในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กๆ

เขาเล่าถึงชีวิตตัวเองว่า

 “ตอนเกิดมา เกือบไม่รอด แม่ไม่มีนมให้กิน ผมอยู่กับตาตั้งแต่เด็ก สมัยนั้นตาชงนมใส่ขันกรอกใส่ปากผม ผมใช้ชีวิตร่วมกับตาในท้องไร่ท้องนา พ่อแม่ไม่เคยมายุ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่ไม่รักนะ

 แม้ผมจะคุยกับตาน้อย แต่ผมสัมผัสอารมณ์ได้ จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมนั่งอยู่นอกชาน มีต้นฝรั่งอยู่หน้าบ้าน ตาแค่บอกว่าให้ฟัง หลังจากตาตาย ผมก็ใช้ชีวิตแบบที่ผมอยากทำ ผมเป็นอิสระมาก ตัดสินใจด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก

 ตอนผมเป็นผู้บริหารโรงเรียน ผมยังรู้สึกว่า ผมทำอะไรได้มากกว่านั้น น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก จนมาเป็นครูใหญ่ที่นี่ก็ค่อยๆ ทำไป ใช้เวลาแต่ละวันให้เต็มที่ ผมให้ความสำคัญกับทีมงานมาก”

 

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/society/20090808/66575/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3-%E0%B9%84%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7.html

ใส่ความเห็น